นพ.ทินกร สถิรแพทย์ ศัลยแพทย์
กรดยูริกเป็นของเสียที่ร่างกายต้องขับออกทางปัสสาวะ โดยมีต้นกำเนิดจากการสลายของเซลล์ คือ DNA และ RNA กลายเป็นกรดยูริก เมื่อร่างกายไม่มีการสร้างเนื้อเยื่อหรือเซลล์ใหม่ มีแต่การสลายของเซลล์ออกมาก เช่น ผู้ใหญ่ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป จึงเกิดกรดยูริกในเลือดสูงได้ง่าย และไม่พบปัญหานี้ในเด็กหรือในวัยรุ่น ซึ่งเป็นช่วงที่มีการเจริญเติบโต ร่างกายต้องการกรดยูริกในการสร้างเซลล์และเนื้อเยื่อใหม่
ดังนั้น อาหารที่มีเซลล์มากได้แก่ ตับ ไต ลำไส้ และหนังสัตว์ จะให้กรดยูริกมากกว่าส่วนอื่นของสัตว์ เช่น เนื้อสัตว์ ดังนั้นการรับประทานสัตว์ปีกเช่นเนื้อไก่โดยไม่รับประทานหนังไก่ จะไม่เพิ่มกรดยูริกในเลือดมากนัก ตรงกันข้ามกับหนังไก่ หนังเป็ด ซึ่งอุดมไปด้วยกรดยูริกและคอเลสเตอรอล
เมื่อเราตรวจร่างกายประจำปีและพบว่า กรดยูริกในเลือดสูง คือ มากกว่า 7 มก.ต่อ ดล. และไม่มีอาการปวดข้อ ปวดกระดูก แพทย์ส่วนใหญ่มักจะไม่ให้การรักษา เพียงแต่ให้ระวังการรับประทานอาหารดังกล่าว ซึ่งข้อความดังกล่าวข้างต้นเป็นความรู้ในอดีต
น้ำตาลฟรุคโตส หรือ ซูโครส
เมื่อเข้าสู่ร่างกาย ร่างกายจำเป็นต้องสลายน้ำตาลฟรุคโตสโดยการใช้ ATP และ ATP จะถูกเปลี่ยนเป็น ADP ซึ่งโดยปกติ ADP จะถูกนำไปสร้างเป็น ATP ใหม่ แต่การมีน้ำตาลฟรุคโตสจำนวนมากเกินไปจะไปขัดขวางการสร้าง ATP จึงถูกสลายเป็นกรดยูริก จะเห็นได้ว่ากรดยูริกนี้เกิดจากการสลายของ
ATP ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานในเซลล์ ทำให้เซลล์อ่อนแอและแก่เร็ว และยังเพิ่มกรดยูริกในเลือดด้วย
การที่ร่างกายได้รับน้ำตาลฟรุคโตสมากเป็นระยะเวลานาน
ทำให้มีไขมันไตรกลีเซอไรด์สูง และโรคเบาหวาน กอปรกับมีความดันโลหิตสูง
ทำให้หัวใจด้านซ้ายทำงานหนักและเกิดหัวใจโต และมีความเสี่ยงสูงที่กล้ามเนื้อหัวใจจะขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง
กล้ามเนื้อหัวใจตายและหัวใจวายได้ง่าย
ปัจจุบันเมื่อพบว่ากรดยูริกในเลือดสูง
จึงแนะนำให้รับการรักษาด้วยยาเพื่อลดกรดยูริกทันทีที่ตรวจพบ ร่วมกับการจำกัดอาหารที่มีกรดยูริกสูง
เช่น เครื่องในสัตว์ และหนังสัตว์ โดยไม่ต้องรอให้เกิดอาการปวดข้อ
และจำกัดการรับประทานน้ำตาลฟรุคโตสที่อยู่ในรูปของน้ำอัดลม น้ำผลไม้ และน้ำตาลทราย
เมื่อปฏิบัติตามเช่นนี้
ก็ควรตรวจเช็คเลือดหากรดยูริกในอีก 3 เดือนถัดมา ซึ่งก็จะมั่นใจได้ว่าค่ากรดยูริกจะกลับมาเป็นปกติ และโอกาสที่เราจะเป็นโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจก็ลดน้อยลงมาก
สรุปได้ว่า กรดยูริกในเลือดมีความสำคัญต่อสุขภาพมากกว่าที่เราทราบ
เพราะมีส่วนที่ทำให้เกิดโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง และในอนาคตอาจจะทราบผลเสียของกรดยูริกสูงมากกว่านี้อีก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น