การดูแลคุณแม่ตั้งครรภ์และพัฒนาการทารกในครรภ์
ไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ 1-3เดือน
การเจริญและการพัฒนาของทารกในครรภ์เดือนที่ 1
สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์
ขนาดของทารกยังเหมือนวุ้นไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว 5-7 วันจะฝังตัวที่ผนังมดลูก
ไข่จะเจริญอย่างรวดเร็ว ตัวอ่อน ซึ่งจะมีการสร้างรกและสายสะดือ
เพื่อเป็นทางนำอาหารจากแม่สู่ลูกและขับของเสียจากลูกสู่แม่ เด็กจะอยู่ในถุงน้ำ
ซึ่งเรียกว่า “amniotic sac” ซึ่งป้องกันแรงเด็กจากการกระแทก เปรียบเสมือนห้องนอนของลูก
สัปดาห์ที่ 2และ3ของการตั้งครรภ์
จะมีการสร้างประสาทไขสันหลังและกระดูกสันหลังรวมทั้งเส้นประสาท
เมื่อเวลาผ่านไป 6 สัปดาห์เด็กจะมีหัวและลำตัว
สัปดาห์ที่
4 ของการตั้งครรภ์
เซลล์จะแบ่งตัวประมาณ 150 เซลล์และแบ่งเป็น 3 ชั้นได้แก่
-ชั้นนอก
ectoderm ซึ่งจะสร้าง สมอง เส้นประสาทและผิวหนัง
-ชั้นกลาง
mesoderm
ซึ่งจะกลายเป็นกล้ามเนื้อ กระดูก เส้นเลือด หัวใจและอวัยวะเพศ
-ชั้นใน
endoderm
ซึ่งจะกลายเป็นอวัยวะภายในเช่น ตับ
หัวใจ กระเพาะ ปอด เป็นต้น
ทารกจะมีขนาดประมาณ 1/4 นิ้ว
เริ่มมีการสร้างหัวใจ(5-6สัปดาห์หลังจากประจำเดือนครั้งสุดท้าย) ตาและแขน
แต่ยังฟังเสียงหัวใจไม่ได้สิ้นสุดสัปดาห์ที่ 6 เด็กจะมีขนาดครึ่งนิ้ว
การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่เกิดกับคุณแม่เดือนที่ 1
การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่เกิดกับคุณแม่เดือนที่ 1
ในระยะแรกของการตั้งครรภ์จะมีอาการอ่อนเพลีย
ง่วงนอน ปัสสาวะบ่อย คลื่นไส้ อาเจียน แน่นและอืดท้อง คัดเต้านม
อารมณ์จะผันผวนเหมือนก่อนมีประจำเดือน คุณแม่บางท่านอาจจะมีอาการเลือดออกเล็กน้อยเนื่องจากตัวอ่อนฝังตัวอาการต่างๆจะเป็นมากน้อยในแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน
การเจริญและการพัฒนาของทารกในครรภ์เดือนที่
2
ระยะนี้เป็นระยะสำคัญที่สุดเนื่องจาก
จะมีการเจริญเติบโตเร็วมาก ดังนั้นไม่ว่าการติดเชื้อไวรัส ยาที่รับประทาน
หรือสิ่งแวดล้อม ที่มีผลต่อการเจริญเติบโต หากเด็กได้รับช่วงนี้ จะเกิดความพิการได้
เริ่มมีการสร้าง แขน ขา ตา ในช่วงสัปดาห์ที่ 7-8 จะเริ่มสร้างนิ้วมือ
อาจจะได้ยินเสียงหัวใจเด็กเมื่อตรวจด้วย Ultrasound เมื่อสิ้นสุดเดือนที่สองอวัยวะต่างๆจะพัฒนา เช่น สมอง ตับ หัวใจ กระเพาะ
นิ้ว มือ หู และอวัยวะเพศ ในระยะนี้เด็กจะมีขนาด 1 นิ้วเราเรียกระยะนี้ว่า Fetus
การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่เกิดกับคุณแม่เดือนที่ 2
การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่เกิดกับคุณแม่เดือนที่ 2
น้ำหนักจะเริ่มเพิ่มขึ้น
แต่สำหรับผู้ที่ยังแพ้ท้องอยู่น้ำหนักอาจจะไม่เพิ่ม เสื้อผ้าจะเริ่มคับ เต้านม
ขาจะใหญ่ขึ้น ผู้ตั้งครรภ์ส่วนใหญ่จะเกิดอาการของคนตั้งครรภ์คือ รู้สึกเหนื่อย
ปัสสาวะบ่อย คลื่นไส้ อาเจียนท้องผูก ท้องอืด คัดเต้านม หัวนมจะมีสีคล้ำขึ้น
ปวดศีรษะ รู้สึกว่าเสื้อผ้าจะคับ อารมณ์ยังคงผันผวน
คุณแม่บางคนอาจจะมีอาการปวดท้องน้อยเป็นระยะเนื่องจากการบีบตัวของมดลูก
การเจริญและการพัฒนาของทารกในครรภ์เดือนที่
3
เด็กทารกวัยนี้จะมีอวัยวะครบถ้วน
เริ่มมีการขยับแขน ขา ศีรษะ อ้าปากและหุบปากได้ นิ้วเริ่มมีเล็บ แต่คุณแม่อาจจะยังไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวเนื่องจากเด็กยังมีขนาดเล็ก
แขนและมือจะมียาวกว่าขา ศีรษะเด็กจะมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับลำตัวหัวใจจะมี 4 ห้อง
หัวใจจะเต้น 120-160 ครั้ง
ไตเริ่มขับของเสียสู๋กระเพาะปัสสาวะและถูกนำออกโดยสายสะดือ
เด็กในระยะนี้จะมีความยาว 4 นิ้ว
การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่เกิดกับคุณแม่เดือนที่
3
เมื่อไปฝากครรภ์แพทย์จะวัดความดันโลหิต
ตรวจปัสสาวะและตรวจนับอัตราการเต้นของหัวใจ
ขนาดของมดลูกเพื่อเปรียบเทียบกับอายุครรภ์ระยะนี้ยังคงมีอาการของคนแพ้ท้อง
จะพบว่าเส้นเลือดที่นม ท้อง ขา เริ่มขยาย ท้องจะเริ่มโต
ผู้ตั้งครรภ์จะเริ่มรู้สึกอยากอาหาร อารมณ์จะผันผวนน้อยลง
โภชนาการในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์
อาหารในช่วงไตรมาสแรกนี้คุณแม่ตั้งครรภ์ควรเน้นอาหารที่เสริมสร้างเนื้อเยื่อ
และการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ อาหารในช่วงนี้ต้องเน้นที่ โปรตีน แคลเซียม
ธาตุเหล็กและโฟเลต ควรแบ่งเป็นมื้ออาหารดังนี้
1.เน้นกินไข่วันละ
1 ฟอง ไข่ต้ม ไข่ตุ๋น ไข่เจียวหรือไข่ดาว เน้นปรุงแต่งให้สุกและใช้น้ำมันน้อย
2.นมวัว
หรือนมถั่วเหลือง ดื่มเพียงวันละ 1-2 แก้วเท่านั้น
3.อาหารที่มีธาตุเหล็กควรเน้นกินเป็นประจำทุกวัน
เช่น ตับ ไข่แดง งาดำ ถั่วเมล็ดแห้ง ไม้ผลเน้น ทับทิม ลูกพรุน ลูกเกด กล้วยตาก
ผักใบเขียวเน้นคะน้า ตำลึง ผักหวาน บร๊อคโคลีและใบยอ
4.กินโฟเลต
โฟเลตจะมีอยู่มากในผักใบเขียวและผลไม้สีออกเหลืองส้ม เช่นมะละกอ แคนตาลูป
หน่อไม้ฝรั่ง และพวกธัญพืชไม่ขัดสี เช่นข้าวซ้อมมือ
อาหารที่คุณแม่ควรกินทุกๆไตรมาส
คือ โปรตีน แคลเซียม และธาตุเหล็กเพราะมีผลเรื่องการเจริญเติบโตของลูก
ไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์
4-6เดือน
การเจริญและการพัฒนาของทารกในครรภ์เดือนที่
4
ผิวหนังเด็กจะมีสีชมพูและใส
ขนคิ้วและขนตาเริ่มงอก เริ่มมีการสร้างหูชั้นนอก หน้าตามีการพัฒนาเพิ่มขึ้น
คอยาวขึ้นทำให้หน้าและลำตัวแยกจากกันศีรษะจะมีขนาดเล็กลงประมาณครึ่งหนึ่งของลำตัวเด็กทารกวัยนี้จะสามารถลืมตา
กลืนน้ำ มีการนอน ตื่น การเคลื่อนไหว แตะ
คุณแม่จะรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวนี้ได้เรียก Quickening ให้จดวันที่เด็กเริ่มเคลื่อนไหวไว้ให้แพทย์ประกอบการพิจารณาวันกำหนดคลอด
การตั้งครรภ์เดือนที่ 4 นี้ทารกจะมีขนาด 8-10 นิ้ว
การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่เกิดกับคุณแม่เดือนที่
4
เมื่อไปฝากครรภ์แพทย์จะวัดความดันโลหิต
ชั่งน้ำหนัก ตรวจปัสสาวะ วัดอัตราการเต้นของหัวใจ วัดขนาดของมดลูก
วัดความยาวของมดลูก ซึ่งจะต้องตรวจทุกครั้งที่คุณแม่มาฝากครรภ์
โดยทั่วไปอาการของคนท้องจะดีขึ้นในช่วงนี้ เช่นอาการคลื่นไส้อาเจียน
อาการปัสสาวะบ่อย คัดเต้านม อาการต่างๆเหล่านี้จะลดลง แต่ยังคงมีอาการ
เช่นแน่นท้อง ท้องผูก ปวดศีรษะ นอกจากนั้นยังมีอาการที่เกิดขึ้นใหม่ เช่นคัดจมูก
เลือดกำเดาไหล หูอื้อ เลือดออกตามไรฟัน หลังเท้าบวมเล็กน้อย เส้นเลือดขอดที่ขา
อาจจะมีริดสีดวงทวาร ตกขาว
ในระยะนี้สมควรที่จะใส่ชุดคลุมท้องและเตรียมยกทรงหากเต้านมมีขนาดเพิ่มขึ้น
แพทย์จะเริ่มได้ยินเสียงการเต้นของหัวใจเด็กระยะนี้คุณแม่จะหิวบ่อยขึ้น
แนะนำให้รับประทานอาหารบ่อยขึ้น แต่ไม่แนะนำให้รับประทานปริมาณอาหารเพิ่ม
อาจจะบ่อยเพิ่มเป็นสองเท่า และควรจะรับประทานอาหารที่มีคุณค่าต่อแม่และลูก
หากเป็นไปได้ให้จดชนิดและปริมาณอาหารที่รับประทานเพื่อเปรียบเทียบกับอาหารมาตรฐานหรือนำไปปรึกษาแพทย์
อารมณ์ช่วงนี้ยังผันผวน เสื้อผ้าเดิมเริ่มคับ หลงลืมบ่อย
น้ำหนักคุณแม่เริ่มเพิ่มขึ้นในระยะแรกของการตั้งครรภ์น้ำหนักอาจจะไม่เพิ่มเนื่องจากมีอาการแพ้ท้อง
แต่เมื่อย่างเข้าระยะนี้น้ำหนักควรจะเพิ่มขึ้นสัปดาห์ละครึ่งกิโลกรัม
แต่ระยะใกล้คลอดน้ำหนักอาจจะไม่เพิ่มหรือลดลงซึ่งเป็นเรื่องปกติ
คนปกติเมื่อตั้งครรภ์ควรจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 10-17 กิโลกรัม สำหรับครรภ์แฝดอาจจะเพิ่มประมาณ
17-20กิโลกรัม โดยเป็นน้ำหนักทารก 3-4 กิโลกรัม น้ำหนักรกและน้ำคล่ำ 1.5-3กิโลกรัม
ไขมัน น้ำ และเลือดประมาณ 7-8 กิโลกรัม
การเจริญและการพัฒนาของทารกในครรภ์เดือนที่
5
เด็กทารกช่วงนี้เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
อวัยวะทำงานได้เต็มที่ เด็กเริ่มมีลายนิ้วมือ กล้ามเนื้อจะแข็งแรงมากขึ้น
ตับจะเริ่มสร้างเม็ดเลือดแดง ถุงน้ำดีเริ่มสร้างน้ำดี ฟันน้ำนมเริ่มโตใต้เหงือก ผม
ขนคิ้ว ขนตายาวขึ้นเด็กจะมีการตื่นและนอนเป็นเวลา
คุณแม่สามารถรู้ได้ว่าเด็กมีการเคลื่อนไหวมากขึ้น เด็กดูดนิ้วมือเป็น เด็กระยะนี้จะยาว
10-12 นิ้วหนักประมาณครึ่งกิโลกรัม
การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่เกิดกับคุณแม่เดือนที่
5
การตั้งครรภ์เดือนที่
5 นั้นเมื่อคุณแม่ไปพบแพทย์จะตรวจเหมือนกับเดือนที่ 4
อย่าลืมจดปัญหาเพื่อไปปรึกษากับแพทย์ อาการของผู้ป่วยจะคล้ายกับเดือนที่ 4
แต่จะมีอาการมากขึ้น เช่นการเคลื่อนไหวของเด็กเพิ่มขึ้น ตกขาวเพิ่มขึ้น
ปวดท้องน้อยเนื่องจากเอ็นที่ท้องตึงขึ้น ท้องผูก ปวดศรีษะ เลือดกำเดาไหล
เลือดออกตามไรฟัน ขาเป็นตะคริว เส้นเลือดขอด ริดสีดวงทวาร ปวดหลัง
ผิวจะมีสีคล้ำขึ้น
การเจริญและการพัฒนาของทารกในครรภ์เดือนที่
6
ทารกจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
ผิวทารกจะแดงและปกคลุมด้วยขนอ่อน และไขมันผมและเล็บเท้าจะเริ่มงอก
สมองจะเติบโตอย่างรวดเร็ว ระบบประสาทเริ่มทำงาน
ในเด็กหญิงจะเริ่มสร้างไข่ในรังไข่ระยะนี้เด็กจะดูเหมือนคนตัวเล็ก
แต่ปอดยังไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ดังนั้นเด็กจำเป็นต้องอยู่ในมดลูก
เด็กในระยะนี้จะมีความยาว 1-14 นิ้ว
การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่เกิดกับคุณแม่เดือนที่
6
เมื่อไปตรวจตามนัดแพทย์จะตรวจเช่นเดียวกับเดือนที่
4 อาการต่างๆที่เกิดจะเหมือนกับเดือนที่ 5 แต่จะเคลื่อนไหวมากขึ้นแข็งแรงมากขึ้น
โภชนาการในช่วงไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์
โภชนาการในช่วงไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์
เน้นอาหารที่ให้พลังงานสูงและลดอาการท้องผูกของคุณแม่
ในช่วงไตรมาสนี้คุณแม่จะมีท้องที่ใหญ่ขึ้นทำให้ไปเบียดลำไส้
จึงทำให้มีอาการท้องผูกได้ อาหารที่คุณแม่ตั้งครรภ์ยังต้องเน้นทานอยู่
ก็คืออาหารที่ต้องทานในไตรมาสแรก แต่ในช่วงเดือนนี้ก็ควรเน้นพวกผักแลผลไม้เพิ่ม
และควรแบ่งอาหารให้เป็นมื้อเล็กๆเพื่อลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ
อาหารที่ควรเน้นเพิ่มเติมเข้ามาคือ
1.ข้าวซ้อมมือ
ขนมปังโฮลวีต มันเทศ ฟักทอง ข้าวโพด
2.อาหารที่มีเส้นใยมากได้แก่
พวกผักและผลไม้ เช่นลูกพรุน แก้วมังกร ส้ม ผักกะเฉด คะน้า ผักหวาน ใบยอ
แต่ควรหลีกเลี่ยงน้ำผลไม้ที่มีรสหวานจัด
3.ดื่มน้ำเปล่าให้มากกว่าปกติ
เพราะน้ำจะทำให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น
ไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์ 7-9เดือน
การเจริญและการพัฒนาของทารกในครรภ์เดือนที่
7
เป็นช่วงที่คุณแม่เข้าสู่ไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์
ท้องโตมากขึ้น คุณแม่จะรู้สึกได้ดีถึงการเคลื่อนไหวของทารก
ท้องที่โตมากขึ้นทำให้คุณแม่หายใจเร็วขึ้น
เพราะมดลูกที่โตจะมาดันกระบังลมทำให้หายใจได้สั้นๆ คุณแม่จะรู้สึกถึงความอุ้ยอ้าย
เคลื่อนไหวไม่คล่องแคล่ว นอนหลับไม่ได้เต็มที่จากการที่ทารกในครรภ์จะตื่น
และจะบีบรัดตัวครั้งละไม่นานเกิน 30 วินาที
ในระยะนี้คุณแม่ควรจะได้เข้าอบรมเรียนรู้ขั้นตอนการเตรียมคลอด
เพื่อจะได้ปฏิบัติตัวได้ถูกต้องเมื่อเจ็บครรภ์คลอดและเข้าสู่กระบวนการคลอด
ในช่วงระยะนี้คุณแม่จะมีน้ำหนักตัวเฉลี่ยเพิ่มสัปดาห์ละ ครึ่งกิโลกรัม
ทารกในครรภ์ขณะนี้จะมีน้ำหนัก 1 กิโลกรัมโดยประมาณ
ทารกในครรภ์จะมีการเคลื่อนไหวและปฏิกิริยาในรูปแบบต่างๆ เช่นการจาม ดูดมือ
ดูดนิ้วเท้า
การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่เกิดกับคุณแม่เดือนที่
7
คุณแม่มักจะมีอาการท้องอืด
มีลมในกระเพาะอาหารมาก และท้องผูกยังคงเป็นอาการที่รบกวนคุณแม่อยู่ ขนาดของมดลูกที่โตขึ้นจะดันกระเพาะอาหารขึ้นไป
หากคุณแม่รับประทานอาหารแล้วแน่นท้องมาก
ควรแบ่งอาหารเป็นมื้อย่อยๆอีกครั้งในไตรมาสที่สามของการตั้งครรภ์นี้
อาการบวมตามมือและเท้าเกิดขึ้นเป็นปกติ เพราะร่างกายสะสมน้ำไว้มาก
อาจจะสังเกตได้จากแหวนที่คับมากขึ้นผิวหนังของคุณแม่จะแพ้ง่ายมากในช่วงนี้
อาจมีผื่นขึ้น หรือเป็นสิว ไม่ต้องกังวล
แต่ถ้าหากเป็นมากควรไปปรึกษาแพทย์ผิวหนัง
อัตราการเต้นของหัวใจจะเพิ่มขึ้น
เพราะหัวใจต้องทำงานล่วงเวลาเพื่อที่จะสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย รก และทารก
ดังนั้นอัตราการเต้นของหัวใจของคุณแม่มักจะสูงกว่าปกติประมาณ 10-15ครั้งต่อนาที
คุณแม่บางท่านอาจถูกตรวจพบว่ามีเสียงผิดปกติของการเต้นของหัวใจ
แต่จะหายไปเมื่อคลอดแล้ว เต้านมของคุณแม่ยังขยายต่อไปอีก
รวมถึงต่อมผลิตน้ำนมก็มีความพร้อมแล้วที่จะผลิตน้ำนมออกมาเลี้ยงทารก
ในไตรมาสสุดท้ายนี้คุณแม่อาจมีน้ำนมสีเหลืองไหลออกมาเล็กน้อย เป็นเรื่องปกติ
ข้อควรระวังก็คือระวังการกระตุ้นที่บริเวณนมเพราะจะทำให้มดลูกบีบตัวและเกิดการคลอดก่อนกำหนดได้
ส่วนอาการปวดหลัง ของคุณแม่จะเป็นมากขึ้นและบางทีส่งผ่านลงไปที่ขาทั้งสองข้าง
ครึ่งหนึ่งของหญิงตั้งครรภ์จะมีอาการปวดหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการตั้งครรภ์ดำเนินสู่ไตรมาสที่สาม
อาการเจ็บที่หลังจะส่งผ่านลงไปที่ขา
อาจเกิดขึ้นได้จากการที่กระดูกสันหลังส่วนล่างนูนออก
จากการที่ถูกมดลูกที่มีขนาดโตขึ้นดัน ทำให้เส้นประสาทเกิดการ บาดเจ็บ หรือถูกกด
หรือบางทีการที่คุณแม่ก้มยกของโดยท่าทางไม่ถูกต้อง
หรือบิดตัวเร็วเกินไปอาจเป็นสาเหตุให้ปวดหลัง
และบางครั้งอาการปวดหลังก็หายไปเมื่อทารกเปลี่ยนท่า
หากคุณแม่นอนเอนหลังลงไปแล้วทำให้ไม่สุขสบาย
นั่นเกิดจากการที่มดลูกที่มีขนาดใหญ่ลงไปกดอวัยวะต่างๆตามแรงโน้มถ่วงของโลก
ทำให้เลือดที่ไปหัวใจมีปริมาณน้อยลง ลองนอนตะแคงจะช่วยให้รู้สึกสบายมากขึ้น
คุณแม่จะเริ่มลุกจากเตียงลำบากขึ้นให้นอนตะแคงก่อนแล้วใช้มือช่วยดันขึ้นมา
หากคุณแม่มีอาชีพที่จำเป็นต้องยืนนานๆ อาจใช้ถุงเท้าที่ช่วยพยุงขา
เนื่องจากอาการของเส้นเลือดขอดอาจเป็นมากขึ้น
การเจริญและการพัฒนาของทารกในครรภ์เดือนที่
8
เมื่อเข้าสู่เดือนที่
8 ทารกยังคงเจริญเติบโต อย่างรวดเร็วกระดูกแข็งแรงขึ้น ผิวจะเจริญเหมือนคนปกติ
สมองพัฒนาเต็มที่ เส้นประสาททำงานได้เต็มที่ ตุ่มรับรสเริ่มทำงาน เด็กจะรับแสง
เสียง และความเจ็บปวด ถ้าเป็นเด็กชายอัณฑะจะเคลื่อนจากช่องท้องลงถุงอัณฑะ เด็กช่วงนี้จะยาว
16-18 นิ้วหนักประมาณ 2 กิโลกรัม
การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่เกิดกับคุณแม่เดือนที่
8
การตั้งครรภ์ในเดือนที่
8 แพทย์จะนัดทุกสองสัปดาห์และจะตรวจร่างกายเหมือนเดือนที่ 5
อาการของคุณแม่จะเหมือนเดือนที่ 5 แต่จะหายใจตื้นมดลูกจะบีบตัวมากขึ้น คุณควรปรึกษาแพทย์เรื่องวิธีการคลอดรวมทั้งวิธีการระงับการเจ็บปวด
การเจริญและการพัฒนาของทารกในครรภ์เดือนที่
9
การตั้งครรภ์เดือนที่
9 สมองทารกจะเจริญเติบโตเร็วมากค่ะ ตัวเด็กจะเจริญอย่างรวดเร็วพร้อมที่จะคลอด
ทารกมีการกลับลงพร้อมคลอด ภูมิคุ้มกันจากแม่จะเข้าสู่ลูก เด็กจะเคลื่อนไหวมากขึ้น
ปอดแข็งแรงมาก เด็กจะยาวประมาณ 20 นิ้ว หนัก 2.5-4 กิโลกรัมช่วงอายุครรภ์ 37-42
สัปดาห์เด็กสามารถคลอดได้ตลอดเวลา ระยะนี้คุณแม่ จะรู้สึกอึดอัดเพราะเด็กตัวโต
และดันกระเพาะและกำบังลมทำให้แน่นท้องหายใจตื้นและเร็วอาจมีอาการจุกเสียดหน้าอก และท้องผูก
การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่เกิดกับคุณแม่เดือนที่
9
การตั้งครรภ์เดือนที่
9 ระยะนี้แพทย์จะนัดตรวจทุกสัปดาห์วัดความดันโลหิต ชั่งน้ำหนัก ตรวจปัสสาวะ
ตรวจภายในวัดขนาดของมดลูก ความสูงของมดลูก และตรวจว่าปากมดลูกเปิดหรือยัง
แพทย์จะถามเรื่องความถี่และความแรงของอาการมดลูกบีบตัว
โภชนาการในช่วงไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์
โภชนาการในช่วงไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์
เน้นอาหารที่บำรุงสมองลูกเป็นพิเศษ
ในช่วงไตรมาสสุดท้ายนี้อาหารที่จำเป็นมากคือ อาหารที่ให้พลังงานสูง
จำเป็นต้องกินให้ได้วันละประมาณ 300 กิโลแคลอรี
คุณแม่ตั้งครรภ์ในช่วงนี้ควรดูแลน้ำหนักไม่ให้ขึ้นสูงมาก
ควรงดพวกเครื่องดื่มที่ให้รสหวานหรือมีน้ำตาลสูง ควรเน้นอาหารบำรุงสมอง
เพราะเซลล์ประสาททางด้านสมองของลูกจะพัฒนาสูงสุดในช่วงเดือนนี้
1.เน้นอาหารที่มี
โอเมก้า 3และ 6 สารอาหารเหล่านี้จะบำรุงสมองและประสาทของตาของลูก
ถ้าคุณแม่กินอาหารที่เป็นไขมันดี จะได้รับสาร DHA และ ARA
ทำให้พัฒนาการเรียนรู้ของลูกดีมาก สารอาหารพวกนี้ได้มากจาก เนื้อปลา
อะโวคาโด น้ำมันรำข้าว เมล็ดทานตะวัน น้ำมันมะกอก
2.ดื่มน้ำวันละ
8-10 แก้ว ทำให้เซลล์สมองของลูกทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
3.เน้น
เลซิตินซึ่งเป็นสารประกอบหลักของโคลีน ช่วยในเรื่องพัฒนาสมองและระบบประสาท
ช่วยเพิ่มเรื่องความจำให้ทารกในครรภ์ สารนี้ได้มาจาก ตับสัตว์ นมวัว ไข่แดง
ถั่วเหลือง ดอกกะหล่ำ ผักกาดหอม ธัญพืชต่างๆ
4.สังกะสีช่วยสังเคราะห์โปรตีน
ทำให้ระบบประสาททำงานได้ดี ช่วยให้สมองผ่อนคลาย แหล่งที่มีของสารตัวนี้คือ
หอยนางรม เนื้อวัว ชีส จมูกข้าวสาลี กุ้ง ปู
ทั้งนี้อาการเจ็บครรภ์จริงที่ควรรีบมาพบแพทย์
มักจะมีอาการปวดท้องสม่ำเสมอ
วิธีการตรวจคือเมื่อเริ่มปวดท้องให้คุณแม่นับหรือจับเวลาตั้งแต่เริ่มปวดท้องจนปวดท้องครั้งต่อไป
จะพบว่าอาการปวดจะมาอย่างสม่ำเสมอ คือใน 1ชั่วโมงจะปวดมากกว่า 5 ครั้ง
แต่ละครั้งปวดนาน 30-70 วินาที และหากคุณแม่มีการเคลื่อนไหวมากจะปวดมากขึ้น
สิ่งที่คุณแม่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษในช่วงการตั้งครรภ์ 9 เดือน คือมีเลือดหรือน้ำออกจากช่องคลอดหรือไม่
มดลูกหดเกร็งตลอดเวลา ปวดหลังตลอดเวลาไม่หาย และรู้สึกว่าเด็กไหลลงช่องคลอด
Link แพทย์สูตินรีเวชของโรงพยาบาล
http://www.mccormick.in.th/2013/index.php/2013-09-19-07-44-42/2013-10-09-03-00-18/2014-11-12-07-12-06
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น