ภูมิแพ้เป็นกลุ่มอาการที่แสดงการเกิดโรคได้หลายระบบในร่างกาย
แบ่งเป็น
1.ภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจ
ประกอบด้วยกลุ่มอาการที่แสดงทางจมูก ช่องคอ หลอดลมและ ปอด
2.ภูมิแพ้ระบบทางเดินอาหาร
3.ภูมิแพ้ที่แสดงออกทางตา
4.ภูมิแพ้ที่แสดงออกทางระบบไหลเวียนโลหิตและหลอดเลือด
5.ภูมิแพ้ทางผิวหนัง
ประชากรส่วนใหญ่มักจะประสบปัญหาภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจ
และระบบทางเดินอาหารเป็นหลัก หากกล่าวเฉพาะทางจมูก จะพบว่าจากประมาณการขององค์การอนามัยโลก ในปี พ.ศ. 2551
คาดว่ามีผู้ป่วยโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ มากกว่า 500 ล้านคนทั่วโลก
ส่วนในประเทศไทยคาดว่ามีผู้ป่วยโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ในผู้ใหญ่ถึงร้อยละ
15.5
ผู้ป่วยโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ส่วนใหญ่ มักจะมีอาการ น้ำมูกไหล คัดจมูก จาม
และคันจมูกร่วมกับมีหรือไม่มีอาการคันตา
โดยความรุนแรงของอาการขึ้นอยู่กับผู้ป่วยแต่ละราย
ในบางรายอาการรุนแรงมากจนรบกวนคุณภาพชีวิต ส่งผลเสียต่อการทำงานหรือการเรียนได้
การวินิจฉัยโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้นอกจากจะอาศัยประวัติการดำเนินโรคแล้ว ควรจะต้องมีการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันร่วมด้วย ในปัจจุบันการตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการที่เป็นที่ยอมรับคือการทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนังด้วยวิธีสะกิด (skin prick test) และ
การตรวจเลือดหาอิมมูโนโกลบูลินอี (IgE)
ที่จำเพาะต่อสารก่อภูมิแพ้ โดยวิธีแรกกระบวนการทดสอบทำได้ง่ายกว่า
ทราบผลรวดเร็ว และค่าใช้จ่ายน้อยกว่าวิธีที่สอง ซึ่งในบทความนี้จะขอนำเสนอข้อมูลของการทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนังด้วยวิธีสะกิด (skin prick test) เป็นหลัก
วัตถุประสงค์ของการทำ Skin Prick Test ก็เพื่อยืนยันการวินิจฉัยภาวะภูมิแพ้ในผู้ป่วย
ว่าอาการของโรคที่เป็นอยู่เป็นจากปฏิกิริยาการแพ้ในร่างกายจริงหรือไม่
เพราะบางครั้งอาการแสดงบางโรคของผู้ป่วยจะคล้ายคลึงกับอาการของโรคภูมิแพ้มาก
ทำให้การวินิจฉัยอาจคลาดเคลื่อนและส่งผลต่อการตัดสินใจในการรักษาของแพทย์
นอกจากนี้การทำ Skin Prick Test ยังช่วยบอกได้ว่า ผู้ป่วยมีอาการแพ้จากสารก่อภูมิแพ้ชนิดไหนซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการรักษา
เพราะการรักษาที่ดีที่สุดของโรคภูมิแพ้ก็คือการหลีกเลี่ยงการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้นั่นเอง
วิธีการทดสอบ Skin Prick Test เริ่มจาก การใช้น้ำยาสกัดจากสารก่อภูมิแพ้ชนิดต่างๆ มาหยดลงบนผิวหนัง
บริเวณที่นิยมคือท้องแขนหรือแผ่นหลัง จากนั้นใช้เข็มฉีดยาขนาดเล็ก ( needle
No.27) เขี่ยสะกิดผิวหนังบริเวณที่สัมผัสน้ำยา โดยต้องระมัดระวังไม่ให้น้ำยาที่ใช้ทดสอบสารก่อภูมิแพ้แต่ละชนิดไหลมาปะปนกัน
จากนั้นเฝ้าสังเกตปฏิกิริยาการแพ้ที่จะแสดงออกทางผิวหนังประมาณ 15 นาที ดังภาพ ซึ่งจะเป็นตุ่มนูน ขนาดใหญ่มากกว่า 3 mm. แต่ผู้ป่วยบางคนอาจเกิดปฎิกิริยาได้ช้ากว่านั้นคือ 2 – 24 ชั่วโมงหลังทำการทดสอบ
ขณะทำ การทดสอบ Skin Prick Test ผู้ป่วยบางรายอาจมีปฏิกิริยาแพ้รุนแรงโดยแสดงอาการออกมาหลายระบบ เช่น
หายใจติดขัด แน่นหน้าอก ใจสั่น หน้ามืด ความดันโลหิตต่ำ ดังนั้นการทดสอบ
Skin Prick Test
จึงควรทำในสถานพยาบาลที่มีความพร้อมในการดูแลรักษาผู้ป่วยหากเกิดอาการแพ้รุนแรงจะได้ให้การรักษาได้อย่างทันท่วงที
การทดสอบ Skin Prick Test ควรทำในบุคคลที่มีอาการสงสัยว่าจะเป็นโรคภูมิแพ้ โดยทั่วไปควรทำหลังอายุ 6-8
ปี
เนื่องจากในผู้ป่วยอายุน้อยกว่านี้จะมีปัจจัยทางระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกายมาทำให้ผลการทดสอบไม่ค่อยแม่นยำ
อีกทั้งผู้ป่วยอายุน้อยมักจะไม่ค่อยให้ความร่วมมือในการทดสอบได้สะดวกเหมือนผู้ใหญ่
ไม่แนะนำให้ผู้ป่วยที่มีประวัติแพ้รุนแรงถึงขั้นความดันโลหิตต่ำรุนแรง (
anaphylaxis shock ) ทำการทดสอบ Skin Prick Test เนื่องจากมีโอกาสเกิดอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้
และไม่แนะนำให้ทำการทดสอบ Skin Prick Test ในผู้ป่วยที่ไม่มีอาการ
เพราะสามารถเกิดผลบวกลวงได้
หากผู้ป่วยจะต้องเข้ารับการทดสอบ Skin Prick Test
จะต้องปฏิบัติตัวดังนี้
1.หยุดยาทุกชนิดที่มีส่วนผสมของยาแก้แพ้
( antihistamine ) เช่น ยาแก้แพ้ทางจมูก ยาลดน้ำมูกลดหวัด
ยาแก้ผื่นคัน มาก่อนวันทดสอบ อย่างน้อย 7 วัน
2.งดยาสเตียรอยด์ชนิดทาผิวหนัง เฉพาะผิวหนังบริเวณที่จะทำการทดสอบอย่างน้อย 7
วัน
ชนิดของน้ำยาสกัดจากสารก่อภูมิแพ้แบ่งเป็นสามกลุ่มใหญ่
คือ น้ำยาสกัดจากสารก่อภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจ
น้ำยาสกัดจากสารก่อภูมิแพ้ระบบทางเดินอาหาร และ น้ำยาสกัดสารก่อภูมิแพ้ประเภทยารักษาโรค เช่น ยาปฏิชีวนะ ซึ่งในหนึ่งชุดการทดสอบ Skin
Prick Test อาจประกอบด้วยน้ำยาสกัดจากสารก่อภูมิแพ้เพียงชนิดเดียว
ไปจนถึง 20 กว่าชนิดได้ น้ำยาสารก่อภูมิแพ้ 14 ชนิดที่พบได้บ่อยในเมืองไทย
คือ
1.ไรฝุ่นชนิด D.
farinase
2 ชนิด D.
pteronyssinus
3.ฝุ่นบ้าน
(House dust )
4.ขนสุนัข(Dog)
5.ขนแมว(Cat
)
6.ขนสัตว์ปีก(Feathers)
7.แมลงสาบ(Cockroach)
8.นุ่น(Kapok)
9.ผ้าฝ้าย(Cotton)
10.เชื้อรา ชนิด Alternaria
11.Penicillium
และ
12. Aspergillus
13.หญ้าปล้อง(Burmuda)
14.หญ้าแพรก(Johnson) เป็นต้น
หลังทราบการวินิจฉัยและทราบสารที่ก่อให้เกิดภาวะภูมิแพ้แล้ว
ก็เป็นหน้าที่ของทั้งแพทย์และผู้ป่วยในการร่วมกันวางแนวทางในการรักษา ที่กล่าวเช่นนี้เพราะแพทย์จะเป็นผู้ตัดสินใจว่าผู้ป่วยแต่ละรายควรได้รับการรักษาโดยวิธีใดจึงจะเหมาะสมรวมถึงเป็นผู้ให้ข้อมูลการปฏิบัติตัวในการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้กับผู้ป่วยแต่ละราย
ขณะที่ผู้ป่วยเองจะต้องเป็นผู้ตัดสินใจในการเลือกรับการรักษาในแต่ละวิธี และจะต้องนำข้อมูลที่ได้กลับไปปฏิบัติร่วมกับการใช้ยารักษาอย่างจริงจัง
จึงจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการรักษาอย่างสูงสุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น