วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เมื่อมีอาการปวดหลัง ควรทำอย่างไร
















นพ.กวิน  สีห์โสภณ  ศัลยแพทย์กระดูก

             มาดูกันว่า คุณหมอซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูก รักษาคนไข้ที่มีอาการปวดหลังเป็นประจำอยู่ทุกวันนั้น จะมีวิธีรักษาตัวเองอย่างไร
             อาการปวดหลัง เป็นอาการที่พบได้บ่อย มีการประมาณว่า 80% ของคนทั่วไป เคยมีอาการปวดหลังอย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต แต่ผมคิดว่าน่าจะมากกว่านั้น เพราะลองถามใครๆ ดู ก็เคยปวดกันทั้งนั้น บางคนปวดแล้วปวดอีก ปีละหลายครั้ง ทำให้ต้องหยุดงานโดยไม่จำเป็น
             วันหนึ่งผมเกิดอาการปวดหลังขึ้นมา แล้วลองใช้วิธีง่ายๆ รักษาตัวเองจนอาการดีขึ้น เลยคิดว่าน่าจะมีประโยชน์ต่อคนอื่นๆ ที่มีอาการปวดหลังเช่นกัน วันนั้น ขณะกำลังทำการผ่าตัดใกล้เสร็จนั่งเย็บปิดแผล ก็เกิดอาการเจ็บแปล๊บขึ้นที่หลัง เหมือนมีใครเอาอะไรมาแทง เจ็บจนสะดุ้งตัวขึ้นร้อยโอ๊ยเสียงดัง คนที่กำลังช่วยผ่าตัดก็ตกใจกัน ผมก็พยายามนึกทบทวนว่าเรามีอาการปวดขึ้นมาได้อย่างไร ของหนักก็ไม่ได้ยก จู่ๆ ก็เจ็บขึ้นมาเอง เหมือนคนไข้ที่มาหาผมมักบอกว่า ไม่ได้ทำอะไรเลย จู่ๆ ก็เจ็บขึ้นมาเองที่เป็นอย่างนั้นเพราะไม่ได้สังเกตตัวเอง อย่างในกรณีนี้ผมพบว่าตัวเองกำลังนั่งผ่าตัดอยู่ในท่าก้มหลังนี้มาประมาณเกือบชั่วโมงแล้ว สาเหตุคือจัดความสูงของเตียงผ่าตัดซึ่งปรับระดับให้สูง-ต่ำได้ เตี้ยเกินไป ไม่พอดีระดับสายตา ทำให้ต้องพยายามนั่งก้มตัวเพื่อให้สายตาอยู่ระดับเดียวกับแผล กล้ามเนื้อหลังคงอยู่ผิดท่ามาตลอด จึงทำให้เกิดอาการปวดขึ้น ตอนเริ่มผ่าตัดก็รู้สึกว่าก้มนิดหน่อยไม่น่าจะเป็นอะไร พอนานเข้าจึงเกิดอาการที่เรียกกล้ามเนื้อหลังอักเสบเฉียบพลัน ซึ่งบางคนก็เรียก เอวเคล็ด ยอก เส้นพลิก ฯลฯ มีอาการเจ็บแปล๊บทุกครั้งที่ก้ม หันบิดเอี้ยวตัว หรือลุกเปลี่ยนท่า
             หลังจากนั้นผมรักษาตัวเองอย่างไร... 

             1.  นอนกอดเข่า
             หลังผ่าตัดเสร็จวันนั้น ผมรีบหาเตียงหรือเก้าอี้โซฟายาวก็ได้ นอนหงายกอดเข่าทั้ง 2 ข้าง ให้เข่าชิดหน้าอกมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อยู่นิ่งๆ ในท่านี้ (ดูรูป) ประมาณ 5 นาที จะช่วยยืดกล้ามเนื้อส่วนที่มีการหดเกร็ง สามารถบรรเทาอาการปวดลงได้ทันที 30-40%

นอนหงายกอดเข่า 2 ข้างชิดหน้าอก
ถ้าไม่สามารถนอนหงาย อาจนอนตะแคงก็ได้

             2.  อบซาวน่า
             ถ้าอยู่ในสถานที่ที่มีห้องอบซาวน่า ให้อบซาวน่า 2-3 นาที แล้วออกมาอาบน้ำเย็นอีก 2-3 นาที ทำสลับกันอย่างนี้ ร้อน/เย็น/ร้อน/เย็น สัก 2-3 รอบ อาการจะดีขึ้นมาก เดี๋ยวนี้ตามสโมสรของหมู่บ้านต่างๆ หรือสระว่ายน้ำมักมีซาวน่าไว้ให้บริการ ถ้าไม่มีซาวน่าเราทำเองที่บ้านโดยใช้เครื่องทำน้ำอุ่น ฉีดน้ำร้อน-น้ำเย็นสลับกัน ถ้าไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่นก็ใช้ผ้าชุบน้ำร้อนประคบบริเวณหลังสลับกับผ้าชุบน้ำเย็นแทนก็ได้
             3.  มีสติระมัดระวังอิริยาบถ
             อาการปวดที่เหลือมักเกิดเวลาลุกเปลี่ยนท่า ก้ม บิดเอี้ยวตัว หรือ นั่งนานๆ จึงควรงดอิริยาบถดังกล่าว ถ้าเลี่ยงไม่ได้จะทำให้อาการที่กำลังทุเลา กลับมาเป็นมากอย่างเดิมได้
             การมีสติ คือ รู้ตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่ตลอดเวลา ทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะนั่งก็ให้รู้ตัวเองว่ากำลังนั่งต้องนั่งให้ถูกท่า กำลังจะก้มก็รู้ตัวว่ากำลังจะก้ม ก็ต้องไม่ก้มใช้ย่อเข่าลงแทน บางคนใจร้อนขาดสติจะหยิบของที่พื้นก็ก้มลงทันที ทำให้อาการปวดที่กำลังดีขึ้นกำเริบขึ้นอีกได้  การปวดหลังของผมครั้งนี้ก็เพราะขาดสตินั่นเอง เพราะมัวแต่มุ่งกับการผ่าตัดจนไม่ได้ระมัดระวังอิริยาบถว่าตนเองกำลังนั่งก้มไม่ถูกท่า เพราะฉะนั้นการมีสตินี้จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก จะสามารถช่วยป้องกันไม่ให้อาการปวดหลังกลับมาเป็นอีกได้
             4.  การใช้ยา 
             ถ้าทำตามวิธีต่างๆแล้ว ยังมีอาการปวดอยู่ อาจเริ่มจากยาทาก่อน ผมใช้ยาเป็นหลอดทาบริเวณหลังที่ปวด โดยไม่ต้องถูนวด การนวดจะทำให้ปวดมากขึ้น แล้วถ้ายังปวดผมกินยา Paracetamal ซึ่งเป็นยาสามัญประจำบ้าน ค่อนข้างปลอดภัย ราคาถูก หาได้ง่าย ปัจจุบันนี้คนไทยกินยากันมากมายโดยไม่จำเป็น ยาส่วนมากต้องขับผ่านออกทางไต ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งของคนไข้ที่เป็นไตวายโดยไม่ทราบสาเหตุได้ เพราะฉะนั้นผมจึงขอแนะนำให้กินยาน้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น

             ผมรักษาตัวเองโดยใช้วิธีต่างๆ ข้างต้น วันรุ่งขึ้นก็สามารถไปทำงานได้ตามปกติแม้จะมีอาการปวดบ้างแต่ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบเป็นปกติภายใน 3-4 วัน ทั่วไปจะไม่แนะนำให้นอนพักเป็นเวลานานหลายๆ วัน ถ้าหากดีขึ้นควรพยายามกลับมาใช้ชีวิตประจำวันตามปกติให้เร็วที่สุด หากท่านลองรักษาตนเองด้วยวิธีต่างๆแล้วยังไม่ดีขึ้นก็ควรมาพบแพทย์






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

โรคไบโพล่าร์ (Bipolar Disorder)

Embed from Getty Images  โรคไบโพล่าร์ (Bipolar Disorder)            ปัจจุบันโลกเราทุกวันนี้มีแต่การแข่งขัน แก่งแย่งกันตลอดเวลา จนทำ...