หลายๆครั้งเมื่อเรารู้สึกเศร้า มักทำให้เรากังวลใจว่า
เรากำลังเป็นโรคซึมเศร้าแล้วหรือไม่ แต่ในความจริงแล้ว การเป็นโรคซึมเศร้านั้น
ผู้ป่วยต้องมีความผิดปกติ ทั้งด้าน อารมณ์ ความคิด บางคนมักมีอาการทางกายร่วมด้วย
โดยสาเหตุของการเกิดโรคซึมเศร้า นอกจากจะมาจากปัจจัยความเครียดต่างๆในชีวิตแล้ว
มักต้องมีปัจจัยอื่นร่วมด้วยเสมอ เช่น ความผิดปกติการหลั่งสารเคมีในสมอง
ประวัติด้านพันธุกรรม เป็นต้น
“6 คำถามกับโรคซึมเศร้า”
1.โรคซึมเศร้าต่างจากอารมณ์เศร้าทั่วไปยังไงคะ
ตอบ “อารมณ์เศร้า”
เป็นหนึ่งในอารมณ์พื้นฐานของมนุษย์ มักเกิดเมื่อเราต้องเจอกับความผิดหวัง
ความสูญเสีย การไม่ได้อย่างที่ใจต้องการ
ส่วนใหญ่เมื่อเกิดขึ้นแล้วมันจะคงอยู่ซักพักแล้วก็จะค่อยๆจางหายไปเองหรือเมื่อทำกิจกรรมที่ชอบก็จะรู้สึกอารมณ์ดีมากขึ้น
แต่ “โรคซึมเศร้า”นั้นอารมณ์เศร้าที่เกิดขึ้นนั้นจะคงอยู่เกือบตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง
อาจเป็นสัปดาห์เป็นเดือนหรือเป็นปีๆ ทำให้มีลักษณะเศร้า เบื่อหน่าย ท้อแท้ใจ
ขาดความสนใจจากสิ่งที่เคยชอบ ขี้ลืมบ่อยมากขึ้น มีอาการเบื่ออาหาร นอนไม่หลับ
และในรายที่รุนแรงก็อาจมีความคิดอยากตายหรือการฆ่าตัวตายร่วมด้วย
ที่สำคัญอาการต่างๆเหล่านี้จะต้องส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน
ทำให้เกิดความบกพร่องในหน้าที่การงาน การเรียน หรือความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
จึงจะนับว่าเป็นโรคซึมเศร้า
2.โรคซึมเศร้าเกิดจากอะไรคะ
ตอบ โรคซึมเศร้ามีสาเหตุมาจากปัจจัยหลายๆอย่างรวมกัน
ได้แก่
- ความผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมอง โดยเฉพาะ สารซีโรโทนิน นอร์อดรีนาลีน และโดปามีน
- ปัจจัยกระตุ้นทางจิตสังคม เช่น การสูญเสีย การจากพรากสิ่งอันเป็นที่รัก ปัญหาภายในครอบครัว
- ปัจจัยทางด้านเพศ พบว่าเพศหญิงจะมีโอกาสเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่าเพศชายถึง 2 เท่า
- ปัจจัยทางกรรมพันธุ์พบว่าคนที่มีญาติพี่น้องสายตรงป่วยด้วยโรคซึมเศร้าจะมีโอกาสป่วยด้วยโรคซึมเศร้ามากกว่าคนทั่วๆไป
3.อาการสำคัญของโรคซึมเศร้าที่เราจะสังเกตได้มีอะไรบ้างคะ
ตอบ 9 สัญญาณเตือนที่อาจเป็นโรคซึมเศร้า
- มีอารมณ์ซึมเศร้าติดต่อกันทั้งวัน ทุกวัน
- ทำกิจกรรมที่เคยชอบแล้วไม่รู้สึกมีความสุขเหมือนเดิม
- น้ำหนักลด หรือเพิ่มมากขึ้น เมื่อมีอาการเบื่ออาหาร หรือรู้สึกอยากทานมากกว่าปกติ
- นอนไม่หลับ หรืออาจต้องการนอนมากเกินไป
- ทำอะไรช้าลง หรือหงุดหงิดง่ายมากขึ้น
- อ่อนเพลีย มักไม่มีเรี่ยวแรง
- รู้สึกตนเองไร้ค่า
- เหม่อลอยบ่อย ไม่ค่อยมีสมาธิ จดจ่อ ขี้ลืมบ่อยมากขึ้น
- คิดหมกหมุ่น เรื่องความตาย
4.ทำอย่างไรเมื่อสงสัยว่าตนเองเป็นโรคซึมเศร้าคะ
ตอบ เมื่อสงสัยว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดเป็นโรคซึมเศร้า
การไปพบแพทย์หรือจิตแพทย์เป็นแนวทางที่ดีที่สุดในปัจจุบัน ประโยนช์ที่จะได้จากการไปพบแพทย์
ได้แก่
1.ได้รับการตรวจเพื่อวินิจฉัยตามเกณฑ์ทางการแพทย์
2.ได้รับการตรวจเพื่อค้นหาโรคต่างๆที่อาจเป็นสาเหตุ
เนื่องจากปัจจุบันพบว่าโรคทางกายบางโรค มักมี อาการซึมเศร้าร่วมเกิดขึ้นได้
เช่นโรคไทรอยด์ทำงานผิดปกติ โรคทางภูมิคุ้มกันผิดปกติ เช่น SLE เป็นต้น
3.ได้รับการตรวจประเมินความรุนแรงของโรคซึมเศร้า
4.ได้รับการตรวจประเมินความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายและอาการทางจิต
เช่นเริ่มมีหูแว่ว/เห็นภาพหลอน ซึ่ง อาการดังกล่าวเป็นข้อบ่งชี้ว่า
ผู้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าชนิดรุนแรง ควรรักษาอย่างเร่งด่วนที่สุด
5.ได้รับการบำบัดรักษาที่เป็นองค์รวม
ทั้งการกินยา การทำจิตบำบัด การให้คำแนะนำ และการจัดการปัญหา ที่เป็นสาเหตุ
5.เราจะดูแลสุขภาพจิตเรายังไงได้บ้างคะเมื่อรู้ว่ากำลังซึมเศร้า
ตอบ
- เราควรหลีกเลี่ยงจากสถานการณ์ที่มีความตึงเครียดรุนแรง
- หากิจกรรมเพื่อความผ่อนคลาย เมื่อรู้ตัวว่าตนเองเริ่มเครียดมากขึ้น เช่นการดูหนัง ฟังเพลง พูดคุย กับคนสนิท เป็นต้น
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและพักผ่อนให้เพียงพอ
- หยุดการตำหนิและโทษตัวเอง
- รู้จักให้กำลังใจตนเอง
- ฝึกคิดบวก ทั้งต่อตัวเอง สังคม และผู้อื่น
- ตั้งเป้าหมายไม่สูงหรือยากเกินไปควรเริ่มใช้วิธีตั้งเป้าหมายเล็กๆในชีวิตประจำวัน เพราะเมื่อทำสำเร็จ จะทำให้เรามีกำลังใจที่จะทำกิจกรรมที่ยากขึ้นไปเรื่อยๆ
- เมื่อต้องมีสิ่งสิ่งที่ต้องจัดการหลายอย่าง ควร ค่อยๆเรียงลำดับความสำคัญของสิ่งที่ต้องทำก่อนหลัง
- เฝ้าระวังความคิดเกี่ยวกับการทำร้ายตนเอง ต้องบอกคนใกล้ชิดให้ทราบเสมอเมื่อมีความคิดถึงความ ตาย/ความไม่อยากมีชีวิตอยู่
6.เป็นโรคซึมเศร้าไม่ต้องกินยาได้ไหมคะ
ตอบ การดูแลรักษาผู้ป่วยซึมเศร้าแต่ละระดับจะมีความแตกต่างกัน
กรณีซึมเศร้าชนิดไม่รุนแรง อาจจะไม่ต้องกินยาต้านก็ได้ อาจใช้การปรับการดำเนินชีวิตประจำวัน
ออกกำลังกาย ปรับวิธีคิด ฝึกคิดบวก การทำจิตบำบัด การนั่งสมาธิ
หรือปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม ก็อาจจะทำให้โรคดีขึ้น
แต่ถ้าหากเป็นโรคซึมเศร้าในระดับปานกลางไปจนถึงรุนแรง การกินยาต้านเศร้า
จะมีบทบาทสำคัญต่อการหายของโรคค่อนข้างมาก
โดยปัจจุบันมียาหลายชนิดที่ช่วยรักษาโรคซึมเศร้า
ซึ่งยาต้านซึมเศร้าจะไม่มีฤทธิ์ให้เกิดการเสพติดยา แต่อย่างไรก็ตาม ควรอยู่ภายใต้
การดูแลโดยจิตแพทย์ เพื่อให้เหมาะสมกับอาการของผู้ป่วยแต่ละคนให้มากที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น